Adjectives | ||||||||
Adjectives คือ คุณศัพท์ หมายถึง คำที่ไปทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป) เพื่อบอกให้รู้ลักษณะคุณภาพ หรือคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่า เป็นอย่างไร ได้แก่คำว่า | ||||||||
good | ดี | |||||||
bad | เลว | |||||||
tall | สูง | |||||||
dirty | สกปรก | |||||||
wise | ฉลาด | |||||||
red | แดง | |||||||
fat | อ้วน | |||||||
thin | ผอม | |||||||
this | นี้ | |||||||
those | เหล่านั้น | |||||||
short | สั้น | |||||||
white | ขาว | |||||||
ชนิดของ Adjective | ||||||||
Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 11 ชนิด คือ | ||||||||
1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ | ||||||||
2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ | ||||||||
3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ | ||||||||
4. Numbearl Adjective คุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน | ||||||||
5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ | ||||||||
6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคำถาม | ||||||||
7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ | ||||||||
8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก | ||||||||
9. Emphaszing Adjective คุณศัพท์เน้นความ | ||||||||
10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน | ||||||||
11. Relative Adjective คุณศัพท์สัมพันธ์ |
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Assignment 6 : Adjectives
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Assignment 9 : Conjunctions
- Conjunction -
6.2 คำสันธาน ( Conjunction )
คำสันธาน คือคำที่ใช้เชื่อมความ ซึ่งได้แก่ คำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคที่สมบูรณ์สองประโยคเข้าด้วยกัน (coordinating conjunction) คำสันธานที่ใช้นำหน้าประโยคย่อยไม่อิสระใน complex sentence (subordinating conjunction) และคำสันธานแบบคำคู่ ( paired conjunction)
6.2.1 Coordinating Conjunction
คือคำสันธานที่ใช้เชื่อมเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำ กลุ่มคำ หรือเชื่อมประโยคย่อยอิสระที่อยู่ใน compound sentence เช่น and, but, yet, or, nor, neither, for, so เป็นต้น โดยหากเป็นการเชื่อมประโยคย่อยอิสระใน compound sentence คำเชื่อมเหล่านี้จะอยู่ระหว่าง clause ทั้งสองและมีเครื่องหมายจุลภาค , (comma) คั่น ในกรณีที่ประโยคที่เชื่อมต่อกันค่อนข้างสั้น สามารถละเครื่องหมายจุลภาคได้
1) and ใช้แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เสริมกัน ( showing addition)
1) and ใช้แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เสริมกัน ( showing addition)
My husband and I are going to Rayong this weekend.
My favorite pastimes are playing sports and listening to music.
I wrote to Kimberly on Tuesday and received her reply on Saturday morning.
January is the first month of the year, and December is the last.
2) but, yet ใช้แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ขัดแย้งกัน ( showing concession or contrast)
These shoes are old but comfortable.
Jane likes the piano but prefers to play the harpsichord.
Carol is rich, but Robert is poor.
Mr. Bartley came to the party, but Mr. and Mrs. O'Connor did not.
William is tired, yet happy.
The psychiatrist spoke in a gentle, yet persuasive voice.
She did not study, yet she passed the exam.
3) or ใช้แสดงความสัมพันธ์ประเภทเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ( showing alternatives)
You can have the black kitten or the white dog.
You can email or fax us the details of the program.
She wants to watch TV or (to) listen to some music.
My friends and I usually go to a party on Saturday night, or we go to the movies.
4) nor, neither ใช้ในความหมายตรงข้ามกับ or กล่าวคือใช้แสดงความสัมพันธ์ในเชิง
My favorite pastimes are playing sports and listening to music.
I wrote to Kimberly on Tuesday and received her reply on Saturday morning.
January is the first month of the year, and December is the last.
2) but, yet ใช้แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ขัดแย้งกัน ( showing concession or contrast)
These shoes are old but comfortable.
Jane likes the piano but prefers to play the harpsichord.
Carol is rich, but Robert is poor.
Mr. Bartley came to the party, but Mr. and Mrs. O'Connor did not.
William is tired, yet happy.
The psychiatrist spoke in a gentle, yet persuasive voice.
She did not study, yet she passed the exam.
3) or ใช้แสดงความสัมพันธ์ประเภทเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ( showing alternatives)
You can have the black kitten or the white dog.
You can email or fax us the details of the program.
She wants to watch TV or (to) listen to some music.
My friends and I usually go to a party on Saturday night, or we go to the movies.
4) nor, neither ใช้ในความหมายตรงข้ามกับ or กล่าวคือใช้แสดงความสัมพันธ์ในเชิง
Assignment 8 : Prepositions
6
บุพบท คือ คำเชื่อระหว่างกริยา, นาม, สรรพนาม หรือ คำอื่ใด เพื่อบอกสถานที่,
เวลา, ทิศทาง และอื่นๆ แบ่งตามลักษณะได้ 4 ประการ
1. 1. Simple preposition = บุพบทคำเดียว
at ที่ by โดย, ข้าง down ลง for เพื่อ, เป็นเวลา
form จาก in ใน on บน of ของ
off หมด past ผ่าน round รอบๆ to ถึง, เพื่อจะ
through ผ่านทะลุ till จนกระทั่ง since ตั้งแต่ up ขึ้น
with กับ, ด้วย until จนกระทั่ง
1. 2. Compound Preposition - บุพบทผสมตั้งแต่ 2 พยางค์ขึ้นไป
about เกี่ยวกับ above เหนือ along ตาม around แถวๆ นี้
across ข้าม against ต่อต้าน after ภายหลัง among ระหว่าง
between ระหว่าง before ก่อน behind ข้างหลัง beside ด้านข้าง
below ด้านล่าง into เข้าไปใน inside ข้างใน outside ข้างนอก
over เหนือ, บน opposite ตรงข้าม out of ออกจาก towards ตรงไปยัง
under ใต้ underneath ภายใต้ without ปราศจาก
1. 3. Participial Preposition - บุพบทที่มีรูป -ing
barring เว้นแต่, นอกจากว่า concerning เกี่ยวกับ, บอกว่า
considering เกี่ยวกับ during ระหว่าง (ใช้กับเวลา)
pending ระหว่าง regarding เกี่ยวกับ
respecting เกี่ยวกับ notwithstanding โดยไม่คำนึงถึง, แม้
2. 4. Phrase Preposition = บุพบทวลี
according to ตาม because of เพราะว่า
by means of โดยอาศัย by reason เนื่องจาก
by way of โดย, เพื่อ for the sake of เพื่อ, เพื่อนเห็นแก่
Phrase Preposition - บุพบทวลี
in accordance eith ตาม, ตามที่ in addition to นอกจาก
in (on) behalf of ในนามขแง in case of ถ้าหากว่า, ถ้า
in connection with เกี่ยวกับ in compliance with ตาม
in consequence of ด้วยเหตุ, เพราะ in course of ในระหว่าง
in favor of เพื่อประโยชน์ของ in fornt of ข้างหน้า
in lien of แทนที่, แทน in order to เพื่อที่จะ
in place of แทนที่, แทน in reference of เกี่ยวกับ
in regard เกี่ยวกับ in singht to ใกล้
in stead of แทนที่, แทน in the event of ถ้าหากว่า, ถ้า
on account of เนื่องจาก, โดยเหตุที่ owing to เนื่องจาก
with a view of เพื่อจะ, เพื่อ with an eye to โดยมุ่งหมายเพื่อ
with reference to เกี่ยวกับ with regard to เกี่ยวข้อง
Assignment 7 : Adverbs
คำบุพบท ( Preposition)
คำบุพบท ได้แก่ คำที่ใช้แสดงสถานที่ ตำแหน่ง การเคลื่อนไหว ทิศทาง เวลา ลักษณะ และความสัมพันธ์ คำบุพบทในภาษาอังกฤษอาจเป็นคำคำเดียว เช่น at, between, from สองคำ เช่น next to, out of, across from หรือสามคำ เช่น in front of, in back of, on top of เป็นต้น คำบุพบทตามด้วยคำนาม คำสรรพนาม หรือกลุ่มคำนาม/นามวลี (noun phrase)
นอกจากนี้ ในการตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ ตำแหน่ง การเคลื่อนไหว ทิศทาง เวลา ลักษณะ และความสัมพันธ์ หากเป็นการตอบแบบสั้น ต้องใช้คำบุพบทนำหน้าประโยคคำตอบด้วย เช่น
“When's the meeting?”
นอกจากนี้ ในการตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ ตำแหน่ง การเคลื่อนไหว ทิศทาง เวลา ลักษณะ และความสัมพันธ์ หากเป็นการตอบแบบสั้น ต้องใช้คำบุพบทนำหน้าประโยคคำตอบด้วย เช่น
“When's the meeting?”
“ On Monday.” ( ไม่ใช่ตอบเพียงแค่ Monday.)
6.1.1 คำบุพบทแสดงสถานที่ (preposition of place) ได้แก่ at, on, in
at ใช้เมื่อกล่าวถึงจุดหรือตำแหน่งของพื้นที่หรือเนื้อที่ที่มีลักษณะเป็นมิติเดียว ซึ่งบ่อยครั้งมัก
เป็นจุดในการเดินทางหรือสถานที่พบปะ เช่น
The coach stops at Phitsanulok and Chiang Mai.
Turn left at the traffic lights.
See you at the bus stop.
We enjoyed the party at your house.
The coach stops at Phitsanulok and Chiang Mai.
Turn left at the traffic lights.
See you at the bus stop.
We enjoyed the party at your house.
at ยังอาจใช้เมื่อกล่าวถึงอาคารหรือสถานที่เมื่อเรากำลังนึกถึงสิ่งที่คนทำภายในอาคารหรือสถานที่เหล่านั้น เช่น
Busaba is a student at Sukhothai Thammathirat Open University.
Let's meet at the restaurant.
I'll drop you at the airport.
on ใช้เมื่อกล่าวถึงพื้นผิวที่มีลักษณะสองมิติ เช่น beach, ceiling, computer or TV screen,
Busaba is a student at Sukhothai Thammathirat Open University.
Let's meet at the restaurant.
I'll drop you at the airport.
on ใช้เมื่อกล่าวถึงพื้นผิวที่มีลักษณะสองมิติ เช่น beach, ceiling, computer or TV screen,
grass, the page of a book, wall, roof, road, table, shelf เป็นต้น
I love lying on the beach.
Can you help me get rid of those dirty spots on the ceiling?
What's that mark on the computer screen?
The rabbit's sitting on the grass.
It's on page 112.
I'd like to hang this picture on that wall.
There are a few cats on the roof of my house.
on ยังสามารถใช้เมื่อกล่าวถึงสถานที่ที่ตั้งอยู่บนเส้นหรือแนว ( places on a line) เช่น
on the Nile, on the equator เป็นต้น
The ancient town of Luxor is on the Nile.
Kenya is on the equator, isn't it?
My house is located on Vibhavadi-Rangsit Road.
นอกจากนี้ on ยังใช้เมื่อกล่าวถึงยานพาหนะ เช่น bus, train, plane และ ship ยกเว้น car
I was on the bus when you called me this morning.
Guess who(m) I met on the train?
I love lying on the beach.
Can you help me get rid of those dirty spots on the ceiling?
What's that mark on the computer screen?
The rabbit's sitting on the grass.
It's on page 112.
I'd like to hang this picture on that wall.
There are a few cats on the roof of my house.
on ยังสามารถใช้เมื่อกล่าวถึงสถานที่ที่ตั้งอยู่บนเส้นหรือแนว ( places on a line) เช่น
on the Nile, on the equator เป็นต้น
The ancient town of Luxor is on the Nile.
Kenya is on the equator, isn't it?
My house is located on Vibhavadi-Rangsit Road.
นอกจากนี้ on ยังใช้เมื่อกล่าวถึงยานพาหนะ เช่น bus, train, plane และ ship ยกเว้น car
I was on the bus when you called me this morning.
Guess who(m) I met on the train?
in ใช้เมื่อกล่าวถึงที่ ที่ว่าง หรือเนื้อที่ที่มีลักษณะสามมิติ เช่น box, city, country, cupboard, drawer, house, library, room, car, pocket, building, village เป็นต้น
What's in the box?
I live in Bangkok, but my daughter lives in London.
How long have you been in Thailand?
Can you put the salt and pepper back in the cupboard, please?
The letters are in the top drawer.
Many students are now studying for their final examination in the library.
Your glasses are in the car.
It was very cold in the theater last night.
I live in Bangkok, but my daughter lives in London.
How long have you been in Thailand?
Can you put the salt and pepper back in the cupboard, please?
The letters are in the top drawer.
Many students are now studying for their final examination in the library.
Your glasses are in the car.
It was very cold in the theater last night.
6.1.2 คำบุพบทแสดงตำแหน่ง (preposition of position/location)
เช่น above ( ข้างบน เหนือ) , across from ( อีกฝั่งหนึ่งของ) , at the top of ( ด้านบนสุดของ) , at the bottom of ( ด้านล่างสุดของ) , at the back of ( ด้านหลัง) , behind/in back of ( ข้างหลัง) , beside ( ข้าง ๆ) between ( ระหว่าง) , by ( ข้าง ๆ ใกล้ ถัดจาก ติดกับ) , in front of ( ข้างหน้า) , in the middle of ( ตรงกลาง) , near ( ใกล้) , next to ( ถัดจาก ติดกับ) , on top of ( บน ด้านบนของ) , opposite ( ตรงข้าม) , underneath ( ข้างใต้ ข้างล่าง) เป็นต้น
The light is above the desk.
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Assignment 5 : Verbs
Verbs ( คำกริยา )
Types (ชนิดของคำกริยา)
Types (ชนิดของคำกริยา)
คำกริยาเป็นการบอกอาการ หรือการกระทำ ( action ) หรือความมีอยู่ เป็นอยู่ ( being ) หรือ สภาวะความเป็นอยู่ ( state of being )
การกระทำ
|
ความมีอยู่ ,เป็นอยู่
|
สภาวะความเป็นอยู่
|
He eats
|
He is a boy.
|
He seemed tired.
|
He went home
|
She has a beautiful house.
|
This cake tastes good.
|
การจำแนกชนิดของคำกริยา มีการแบ่งไว้หลายวิธีสุดแต่จะคำนึงอะไรเป็นหลัก เช่น
1. แบ่งตามหน้าที่โดยยึดเป็นกรรม ( Object ) เป็นเกณฑ์มี 2 ชนิด
|
2. แบ่งตามหน้าที่ เป็นคำกริยาหลัก (Main Verbs) และคำกริยาช่วย ( Auxiliary Verbs )
|
3. แบ่งตามหน้าที่เป็นคำกริยาแท้ ( Finite Verbs) และกริยาไม่แท้ ( Non-finite Verbs)
- Finite Verbs ( คำกริยาแท้ ) ทำหน้าที่แสดงกริยาอาการที่แท้จริงของประธานในประโยคมีการเปลี่ยนรูปไปตามSubject , Tense, Voice และ Mood เช่น
Subject
I go to school every day He goes to school every day They go to school every day |
Tense
He goes to school every day He went to school yesterday He's going to school tomorrow | |
Voice
Someone killed the snake. ( Active ) The snake was killed . ( Passive ) |
Mood
I recommend that he see a doctor. (ไม่ใช่่he sees ) If I were you ,I would not do it. ( ไม่ใช่ I was ) |
Assignment 4 : Pronouns
Assignment 4 : Pronouns
Pronouns ( คำส
รรพนาม ) Types (ชนิดของคำสรรพนาม)
Pronoun ( คำสรรพนาม ) คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร คำสรรพนาม (pronouns ) แยกออกเป็น 7 ชนิด คือ
1.Personal Pronouns ( บุรุษสรรพนาม ) คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของ
ในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษคือ
รูปที่สัมพันธ์กันของคำสรรพนาม
เช่น
I saw a boy on the bus. He seemed to recognize me. ฉันเจอเด็กคนหนึ่งบนรถประจำทาง เขาดูเหมือนจะจำฉันได้ ( He ในประโยคที่สองแทน a boy และ me แทน I ในประโยคที่หนึ่ง ) My friend and her brother like to swim. They swim whenever they can. เพื่อนฉันและน้องชายของเธอชอบว่ายน้ำ พวกเขาไปว่ายน้ำทุกครั้งที่มีโอกาส ( theyในประโยคที่สอง แทน My friend และ her brother ในประโยคที่ 1 )
การใช้ Personal Pronouns ที่ทำหน้าที่เป็นประธานและเป็นกรรมมีหลักดังนี้
Personal Pronoun ที่ตามหลังคำกริยาหรือตามหลังบุพบท ( preposition ) ต้องใช้ในรูปกรรม เช่น
Please tell him what you want. โปรดบอกเขาถึงสิ่งที่คุณต้องการ ( ตามหลังดำ
กริยา tell ) Mr. Wilson talked with him about the project. คุณวิลสัน พูดกับเขาเกี่ยวกับโครงการ ( ตามหลังบุพบท with )
หมายเหตุ ถ้ากริยาเป็น verb to be สรรพนามที่ตามหลังจะใช้เป็นประธานหรือเป็นกรรม ให้พิจารณาดูว่า สรรพนามใน ประโยคนั้นอยู่ในรูปผู้กระทำ หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่น
It was she who came here yesterday.
เธอคนนึ้ ที่มาเมื่อวานนี้ ( ใช้ she เพราะเป็นผู้กระทำ ) It was her whom you met at the party last night. เธอคนนี้ที่คุณพบที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ (ใช้ her เพราะเป็นกรรมของ you met )
2. Possessive Pronouns ( สรรพนามเจ้าของ ) คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามเมื่อ
แสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่คำต่อไปนี้ mine,ours, yours, his, hers,its,theirs
The smallest gift is mine. ของขวัญชิ้นที่เล็กที่สุดเป็นของฉัน
This is yours. อันนี้ของคุณ His is on the kitchen counter. ของเขาอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว Theirs will be delivered tomorrow. ของพวกเขาจะเอามาส่งพรุ่งนี้ Ours is the green one on the table . ของพวกเราคืออันสีเขียวที่อยู่บนโต๊ะ
possessive pronouns มึความหมายเหมือน possessive adjectives แต่หลักการใช้
ต่างกัน This is my book. นี่คือหนังสือของฉัน ( my ในประโยคนี้เป็น possessive adjective ขยาย book ) This book is mine. หนังสือนี้เป็นของฉัน ( mine ในประโยคนี้เป็น possessive pronoun ทำหน้าที่เป็น ส่วนสมบูรณ์ ( complement) ของคำกริยา is ) 3. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) คือสรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการ เน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน มักเรียกว่า -self form of pronoun ได้แก่ myself. yourself, yourselves, himself, herself, ourselves. themselves, itself มี หลักการใช้ดังนี้
หมายเหตุ ปกติ จะใช้ wash/shave/dress โดยไม่มี myself
By myself หมายถึงคนเดียว มีความหมายเหมือน on my own เช่นเดียวกับคำต่อไปนี้
on ( my/your/his/ her/ its/our/their ) own มีความหมายเหมือนกับ
by ( myself/yourself ( singular) /himself/ herself/ itself/ ourselves/ yourselves(plural)/ themselves ) เช่น I like living on my own/by myself. ฉันชอบใช้ชีวิตอยู่คนเ้ดียว Did you go on holiday on your own/by yourself? เธอไปเที่ยววันหยุดคนเดียวหรือเปล่า Learner drivers are not allowed to drive on their own/ by themselves. ผู้ที่เรียนขับรถไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถด้วยตัวเองคนเดียว Jack was sitting on his own/by himself in a corner of the cafe. แจ๊คนั่งอยู่คนเดียวทีีมุมห้องในคาเฟ
4. Definite Pronouns หรือ Demonstrative Pronouns คือสรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจนว่าใช้แทนสิ่งใด เช่น
this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter
That is incredible! นั่นเหลือเชื่อจริงๆ (อ้างถึงสิ่งที่เห็น)
I will never forget this. ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย (อ้างถึงประสบการณ์เมื่อเร็วๆนี้) Such is my belief. นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ (อ้างถึงสิ่งที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ ) Grace and Jane ar good girls. The former is more beautiful than the latter. เกรซและเจนเป็นเด็กดีทั้งคู่ แต่คนแรก (เกรซ)จะสวยกว่าคนหลัง (เจน)
5.Indefinite Pronouns ( สรรพนามไม่เจาะจง ) หมายถึงสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป มิได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้น คนนี้ เช่น
Everybody loves somebody. คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน
Is there anyone here by the name of Smith? มีใครที่นีชื่อสมิธบ้าง One should always look both ways before crossing the street. ใครก็ตามควรจะมองทั้งสองด้านก่อนข้ามถนน Nobody will believe him. จะไม่มีใครเชื่อเขา Little is expected. มีการคาดหวังไว้น้อยมาก
We, you, they ซึ่งปกติเป็น personal pronoun จะนำมาใช้เป็น indefinite pronounเมื่อไม่เจาะจง โดยมากใช้ในคำบรรยาย คำปราศัย เช่น
We should prepare ourselves to deal with any emergency. เรา ( โดยทั่วไป) ควรจะเตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน)
You sometimes don't know what to say in such a situation. บางครั้งพวกคุณก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น.
6. Interrogative Pronouns ( สรรพนามคำถาม ) เป็นสรรพนามที่แทนนามสำหรับคำถาม ได้แก่ Who, Whom, What, Which และ Whoever, Whomever,Whatever,Whichever เช่น
Who want to see the dentist first? ใครอยากจะเข้าไปหาหมอฟันเป็นคนแรก? ( who ในที่นี้เป็นประธาน )
Whom do you think we should invite? เธอคิดว่าเราควรจะัเชิญใคร? ( whomในที่นี้เป็นกรรม - object ) To whom do to wish to speak ? เธออยากจะพูดกับใคร? ( whom ในที่นี้เป็นกรรม -object ) What did she say? เธอพูดว่าอะไรนะ? ( what เป็นกรรมของกริยา say ) Which is your cat ? แมวของเธอตัวไหน? ( which เป็นประธาน ) Which of these languages do you speak fluently? ภาษาไหนในบรรดาภาษาเหล่านี้ที่คุณพูดได้คล่อง? ( which เป็นกรรมของ speak )
หมายเหตุ which และ what สามารถใช้เป็น interrogative adjective และ who, whom , which สามารถใช้เป็น relative pronoun ได้
7. Relative Pronouns ( สรรพนามเชื่อมความ ) คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน เช่นคำต่อไปนี้ who, whom, which whose ,what, that ,และ indefinite relative pronouns เช่น whoever, whomever,whichever, whatever
Children who (that) play with fire are in great danger of harm.
The book that she wrote was the best-seller He's the man whose car was stolen last week. She will tell you what you need to know. The coach will select whomever he pleases. Whoever cross this line will win the race. You may eat whatever you like at this restaurant. |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)